แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานนานเท่าไร ต้องตรวจสอบแบตรถอย่างไร ถึงจะรู้ว่าเมื่อไรควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ได้แล้ว 

แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานนานเท่าไร ต้องตรวจสอบแบตรถอย่างไร ถึงจะรู้ว่าเมื่อไรควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ได้แล้ว 

สำหรับคนขับรถ ย่อมจะรู้กันดีว่า แบตเตอรี่รถยนต์ คือตัวสำคัญในการขับเคลื่อนให้รถเลื่อนไปข้างหน้า เพราะแบตเตอรี่ทำหน้าที่เป็นตัวจ่ายพลังงานไฟฟ้าเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ โดยแบตเตอรี่จะป้อนกระแสไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถ เช่น มอเตอร์สตาร์ท ระบบจุดระเบิด ระบบไฟส่องสว่าง วิทยุ แอร์ รวมไปถึงการสำรองกำลังไฟฟ้าสำหรับไว้ใช้งานอื่น ๆ อีกด้วย ดังนั้น จึงไม่ควรละเลยการดูแลหรือหมั่นตรวจสอบแบตเตอรี่อยู่เสมอ เพราะคงไม่มีใครต้องการให้รถสตาร์ทไม่ติดขณะที่ต้องเร่งรีบ หรือรถดับขณะขับกลางทาง ทั้งเสียเวลา เสียอารมณ์ และเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ แล้วแบตเตอรี่มีอายุกี่ปีกันแน่นะ มีวิธีไหนที่จะรู้ได้ว่าควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ได้แล้ว เพราะเดี๋ยวนี้แบตเตอรี่ก็มีหลายแบบให้เลือกใช้ เพื่อให้เหมาะสมกับประเภทของรถแต่ละชนิดเช่นกัน 

แบตเตอรี่รถยนต์มีกี่ประเภท 

โดยทั่วไปเราสามารถแบ่งประเภทแบตเตอรี่รถยนต์ 3 ชนิด ได้แก่ 

  • แบตเตอรี่เปียก คือแบตเตอรี่ที่ต้องคอยเติมน้ำกลั่น ทนทาน และเป็นชนิดแบตเตอรี่ราคาถูก
  • แบตเตอรี่กึ่งแห้ง คือแบตเตอรี่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจากแบตเตอรี่เปียก ยังคงต้องเติมน้ำกลั่น แต่ไม่ต้องเติมบ่อยเท่าแบบแรก 
  • แบตเตอรี่แห้ง คือแบตเตอรี่ที่ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำกลั่น ไม่ต้องดูแลมาก ได้รับความนิยมมาก

แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานนานเท่าไร

แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานนานเท่าไร

อายุการใช้งานของแบตเตอรี่จะขึ้นอยู่กับชนิดของแบตฯ ลักษณะการใช้งาน รวมไปถึงการดูแลรักษาแบตเตอรี่ โดยปกติแบตเตอรี่ทั่วไป จะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.5 – 3 ปี  หากเป็นแบตเตอรี่เปียกและแบตเตอรี่กึ่งแห้ง ที่ยังคงต้องคอยเติมน้ำกลั่น จะมีอายุการใช้งานประมาณ 1.5 – 2 ปี แต่ถ้ามีการดูแลดี ๆ อาจใช้ได้นานถึง 3 ปี แต่ไม่ควรใช้เกินนั้น เพราะอาจเสี่ยงต่ออันตรายได้ ในขณะที่แบตเตอรี่แห้งที่ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น จะมีอายุการใช้งานประมาณ 3 ปี หรือมากกว่า 5 ปี หากมีวิธีการดูแลรักษาแบตเตอรี่แห้งเป็นอย่างดี 

จะรู้ได้อย่างไรว่าต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์

  • สตาร์ทรถไม่ติด สตาร์ทเครื่องติดยาก หรือสตาร์ทติดแล้วและดับอีก 
  • ระบบไฟฟ้าในรถยนต์ทำงานช้าลง หรือไม่ทำงาน เช่น กระจกไฟฟ้าเลื่อนช้าอย่างเห็นได้ชัด 
  • ระบบไฟส่องสว่างมีแสงน้อยลง หรือไฟหน้ารถไม่ทำงาน โดยเฉพาะเวลากลางคืน 
  • ต้องพ่วงแบตเตอรี่เป็นประจำ 
  • ไดสตาร์ทไม่ทำงาน 
  • เสียงแตรดังน้อยลงหรือไม่ดังเลยเมื่อจะใช้งาน 
  • แบตเตอรี่หมดไว แบตเตอรี่บวม หรือแบตเตอรี่ร้อนผิดปกติ 

วิธีตรวจสอบแบตเตอรี่รถยนต์ก่อนขับด้วยตนเองแบบง่าย ๆ 

วิธีตรวจสอบแบตเตอรี่รถยนต์ก่อนขับด้วยตนเองแบบง่าย ๆ
  • ตรวจสอบจากอายุการใช้งานแบตเตอรี่ หากเป็นแบตเตอรี่ที่ใช้งานไม่ถึง 1 ปี มักจะไม่ค่อยพบปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ นอกเสียจากว่าใช้งานแบตเตอรี่ผิดวิธี ส่วนแบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 1 ปีขึ้นไป ควรเช็กสภาพแบตฯ สม่ำเสมอ 
  • หมั่นเช็กระดับน้ำกลั่น ตามประเภทของแบตเตอรี่ หากเป็นแบตเตอรี่เติมน้ำกลั่น ควรเช็กระดับน้ำกลั่นทุก ๆ เดือน ส่วนแบตเตอรี่กึ่งแห้งควรเช็กทุก ๆ 6 – 12 เดือน  
  • เช็กแบตเตอรี่เบื้องต้นผ่านช่องตาแมว โดยคอยหมั่นสังเกตสีของช่องตาแมว โดยแบตเตอรี่แต่ละลูกจะมีสีที่บอกสถานะแตกต่างกันไป สามารถอ่านและศึกษาให้เข้าใจได้จากสติ๊กเกอร์ที่มีติดไว้บนแบตเตอรี่ 

จะตรวจสอบแบตเตอรี่รถยนต์หมดอายุหรือแบตเสื่อมได้อย่างไร

จะตรวจสอบแบตเตอรี่รถยนต์หมดอายุหรือแบตเสื่อมได้อย่างไร

อีกวิธีง่าย ๆ และสามารถตรวจสอบได้ตลอด เพียงแค่หาซื้อโวลท์มิเตอร์วัดไฟแบตเตอรี่รถยนต์ แบบที่เสียบได้กับที่จุดบุหรี่รถยนต์ ก็จะสามารถเช็คและตรวจสอบได้ว่า แบตเตอรี่รถยนต์หมดอายุหรือแบตเตอรี่เสื่อมหรือไม่ โดยสามารถวิเคราะห์และอ่านค่าได้จากระบบฟังก์ชันในโวลท์มิเตอร์นั่นเอง 

  • จอดรถแล้วดับเครื่องยนต์ประมาณ 1 นาที หรือหลังจากที่จอดรถทิ้งไว้ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ให้อ่านค่าจากมิเตอร์ โดยค่ามิเตอร์ควรจะอยู่ที่ 12 – 12.8 โวลท์ จึงจะหมายถึง ค่าแบตเตอรี่เป็นปกติ 
  • จากข้อแรก หากอ่านค่าจากมิเตอร์ได้ต่ำกว่า 12 แสดงว่า แบตเริ่มเก็บไฟไม่อยู่ หรือไดชาร์จมีปัญหาในการชาร์จไฟได้ไม่เต็ม เป็นสัญญาณเตือนว่า แบตเตอรีรถยนต์เสื่อม และถ้าหากจอดรถทิ้งไว้ 48 ชั่วโมงขึ้นไป อาจสตาร์ทรถไม่ติด   
  • กรณีที่เกิดขึ้นกับแบตเตอรี่รถยนต์ใหม่ ใช้งานไม่ถึง 1 ปี อาจเป็นไปได้ว่า กระแสไฟฟ้ารั่วลงกราวด์ ต้องทำการตรวจสอบในขั้นตอนต่อไป 
  • เมื่อวัดกับโวลท์มิเตอร์แล้วรอบเครื่องยนต์ 1,000 รอบ / นาที หรือรอบเดินเบา ถ้าต่ำกว่า 12.8 – 13.4 โวลท์ แสดงว่าไดชาร์จมีปัญหา ไม่ชาร์จกระแสไฟฟ้าให้แบตเตอรี่ 
  • หากวัดค่าได้รอบเครื่องยนต์ 2,000 – 2,500 รอบ / นาที จะต้องมีค่าประมาณ 8 – 14.7 โวลท์ ถ้ามากกว่า 15 โวลท์ แสดงว่าไดชาร์จมีปัญหาที่วงจรควบคุมแรงดัน และจะส่งผลให้แบตเตอรี่รถเสื่อมเร็วกว่าปกติ จากการถูกชาร์จด้วยแรงดันที่สูงเกินไป ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ร้อนจนน้ำกลั่นเดือดได้ 

สรุป 

อย่างไรก็ตาม แบตเตอรี่รถยนต์มีอายุการใช้งานไม่เกิน 3 ปี หากมีปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลให้แบตเตอรี่รถยนต์หมดอายุ หรือแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ ควรรรีบเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ทันที อย่าฝืนใช้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเพราะเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายและอุบัติเหตุได้ อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการใช้แบตเตอรี่มือสอง แบตเตอรี่ราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะเราไม่รู้เลยว่าแบตเตอรี่ลูกนั้นผ่านอะไรมาบ้าง และจะมีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้างที่จะก่อให้เกิดอันตรายกับเราขณะใช้งาน หลายครั้งที่เรามักจะได้ยินข่าวอุบัติเหตุ รถระเบิด รถไฟไหม้ ดังนั้น ควรเลือกแบตเตอรี่ลูกใหม่ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน เช่น แบตเตอรี่g7 ที่ได้รับการการันตีและเป็นที่ยอมรับในแวดวงเครื่องยนต์มาอย่างยาวนาน เพราะการเลือกใช้แบตเตอรี่ที่มีคุณภาพ ก็เปรียบเสมือนกำลังดูแล รักษา และถนอมรถคู่ใจของเราให้มีอายุการใช้งานไปได้อย่างยาวนานเช่นกัน

administrator

Related Articles